การฟังเป็นกระบวนการของการรับสารซึ่งนับว่าเป็นทักษะที่สำคัญและมนุษย์ใช้มากที่สุด การฟังยังเป็นการสื่อสารที่มาก่อนการพูด การอ่านและการเขียน การฟังมีความสำคัญต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการสื่อสารอย่างมาก ความล้มเหลวของการสื่อสารนั้นเกิดจากการฟังมากที่สุด การฟังอย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญและทาให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผลได้
เนื้อหาในบทนี้จะกล่าวถึงการฟังใน 3 ประเด็นใหญ่
ได้แก่ ประเด็นที่หนึ่ง ความรู้พื้นฐานของการฟัง
จะอธิบายถึงความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการฟังเพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจให้แก่ผู้เรียน
ประเด็นที่สอง หลักการฟัง จะอธิบายลักษณะและวิธีการฟังสารประเภทต่างๆ
เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจและสามารถพัฒนาทักษะการฟังของตนเองให้มีประสิทธิภาพ
และประเด็นที่สาม อุปสรรคและปัญหาในการฟัง
จะกล่าวถึงปัจจัยที่ทาให้การฟังขาดประสิทธิภาพ
1. ความรู้พื้นฐานของการฟัง
การพัฒนาทักษะการฟังให้มีประสิทธิภาพนั้น
ผู้ฟังต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการฟังเพราะจะทำให้เข้าใจลักษณะทั่วไปของการฟัง
ซึ่งจะเป็นพื้นฐานความเข้าใจอันจะช่วยให้การพัฒนาทักษะการฟังรวดเร็วและมีคุณภาพขึ้น
การเรียนรู้พื้นฐานของการฟังจึงเป็นขั้นตอนแรกของการพัฒนาทักษะการฟัง
1.1
ความหมายของการฟัง
การฟังเป็นทักษะทางภาษาที่มนุษย์ใช้มากที่สุด
บางครั้งอาจมีผู้เข้าใจว่า การฟังมีความหมายเหมือนการได้ยิน
แต่ในความเป็นจริงแล้วการฟังกับการได้ยินมีความหมายแตกต่างกัน พจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542
(2546, หน้า 811) ให้ความหมายของคาว่า “ฟัง” ไว้ว่า “ตั้งใจสดับ
คอยรับเสียงด้วยหู” ส่วนการได้ยิน (2546, หน้า 419) หมายถึง “รับรู้เสียงด้วยหู”
จากทั้งสองความหมายนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า
การฟังมีความเกี่ยวข้องกับการตั้งใจฟังต่างจากการได้ยินซึ่งเป็นเพียงการรับรู้เสียงด้วยหูเท่านั้น
ปรีชา
ช้างขวัญยืน กล่าวว่า การฟัง คือ
พฤติกรรมการใช้ภาษาที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคลของบุคคลหนึ่งหลังจากได้ยินเสียงพูดหรือเสียงอ่าน
ซึ่งเป็นพฤติกรรมการใช้ภาษาภายนอกตัวบุคคลจากอีกบุคคลหนึ่ง
เมื่อเสียงนั้นมากระทบโสตประสาทของผู้รับ คือ ผู้ฟังแล้ว ผู้ฟังก็จะนำเสียงพูดเหล่านั้น
เข้าสู่กระบวนการทางสมอง คือ การคิด ด้วยการแปลความ ตีความจนเกิดความเข้าใจ
ทั้งนี้ถ้าเสียงดังกล่าวเป็นเสียงในภาษาเดียวกันของทั้งผู้พูดและผู้ฟัง
การฟังก็จะเกิดผลได้ง่าย ถูกต้องและชัดเจน (ปรีชา ช้างขวัญยืน, 2525, หน้า 4-5)
จากที่กล่าวมาข้างต้น
สามารถสรุปความหมายของการฟังได้ว่า การฟัง หมายถึง
พฤติกรรมการรับสารผ่านโสตประสาทอย่างตั้งใจเชื่อมโยงกับกระบวนการคิดในสมอง
โดยสมองแปลความหมายของเสียงจนเกิดความเข้าใจและมีปฏิกิริยาตอบสนอง
การฟังจึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล
1.2
การฟังกับการได้ยิน
การฟังนั้นต่างจากการได้ยิน
เนื่องจากการฟังต้องอาศัยโสตประสาทที่อยู่ในหูเป็นเครื่องมือรับเสียง
จากนั้นเมื่อเสียงผ่านโสตประสาทแล้วจะเข้าสู่กระบวนการทำงานของสมอง
ส่วนการได้ยินเป็นกลไกอัตโนมัติของโสตประสาทในการรับเสียงแต่ไม่ได้เชื่อมโยงกับกระบวนการทางสมองเพื่อตีความในการทำความเข้าใจเสียงนั้น
แผนภูมิต่อไปนี้แสดงให้เห็นกระบวนการการฟังซึ่งจะทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างการฟังกับการได้ยิน
แบ่งตามลำดับได้ 5 ขั้นตอน ดังนี้
จากแผนภูมิจะเห็นว่า
กระบวนการฟังเป็นขั้นตอนที่ต่อจากการได้ยิน
การได้ยินจะสิ้นสุดเพียงระดับการรับรู้เสียงแต่การฟังนั้น
เมื่อผู้ฟังเกิดการรับรู้เสียงแล้วจะต้องใช้กระบวนการทางสมองในการตีความและแปลความเสียงที่ได้ยินนั้นออกมา
ทาให้เกิดความเข้าใจและตอบสนองสารที่ได้ฟัง เช่น เกิดความเข้าใจ
เกิดอารมณ์ความรู้สึก เป็นต้น เป็นที่น่าสังเกตว่า
ลักษณะการฟังนั้นจะต้องเริ่มมาจากการตั้งใจหรือจงใจที่จะฟัง
ส่วนการได้ยินจะไม่ได้เริ่มจากการตั้งใจฟัง
1.3
ความสำคัญของการฟัง
การฟังมีความสำคัญมากต่อการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ในชีวิตประจำวัน
ดังจะเห็นว่ามนุษย์ใช้เวลาไปกับการฟังมากที่สุดหากเปรียบเทียบกับการพูด
การอ่านและการเขียน จอห์น ดับบลิว เคล์ทเนอร์ พบว่า ผู้ที่สื่อสารนั้น
มีอัตราส่วนของการใช้ทักษะทางภาษา คือ ใช้เวลาในการฟัง 42% การพูด 32% การอ่าน 15%
และการเขียน 11% ซึ่งทำให้เห็นว่า การฟังมีความสำคัญในการกำหนดความล้มเหลวหรือความสำเร็จของการสื่อสารอย่างมาก
ความสำคัญของการฟัง
สรุปได้ดังนี้
1.
การฟังทำให้ได้รับความรู้ เพราะการฟังเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ เช่น
การฟังบรรยายของอาจารย์ในชั้นเรียน ฟังวิธีทาขนมไทย ฟังวิธีปลูกไม้ดอก เป็นต้น
2.
การฟังทำให้รู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
ทาให้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของคนและสังคม
3. การฟังเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่งของมนุษย์
ทั้งที่เกิดจากการฟังจากบุคคลโดยตรงหรือฟังผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
4.
การฟังช่วยยกระดับจิตใจ
ทาให้เข้าใจความเป็นมนุษย์หรือการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขได้ เช่น
การฟังธรรมเทศนา การฟังโอวาท เป็นต้น
5.
การฟังทำให้ได้รับความบันเทิง ช่วยผ่อนคลายความเครียด
6.
การฟังช่วยพัฒนาทักษะการพูดให้มีประสิทธิภาพได้ กล่าวคือ
การฟังช่วยให้ผู้ฟังได้เรียนรู้วิธีการพูด เนื้อหาสาระของสาร วิธีการนำเสนอสาร
บุคลิกภาพ ฯลฯ ซึ่งสามารถนามาปรับใช้กับวิธีการพูดของตน ทำให้เกิดความมั่นใจขณะพูด
และทำให้การพูดของตนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
7.
การฟังอย่างมีประสิทธิสามารถสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างคนในสังคม
8.
การฟังเป็นเครื่องมือช่วยสืบทอดความงามทางวรรณศิลป์และฉันทลักษณ์ของไทย เช่น
การอ่านบทร้อยกรอง บทกวี บทสวดมนต์ เพลงไทยเดิม เป็นต้น
1.4
ระดับของการฟัง
การฟังสามารถจำแนกได้หลายระดับ
โดยระดับของการฟังที่มักใช้ในชีวิตประจาวันสรุปได้เป็น 3 ระดับ ดังต่อไปนี้
1.
ระดับการได้ยิน การได้ยินเป็นกระบวนการขั้นแรกของการฟัง เป็นการรับรู้โดยใช้
อวัยวะในการรับรู้หรือการได้ยินคือ หูและอวัยวะภายในหู เมื่อหูรับคลื่นเสียงแล้วก็จะส่งไปยังสมอง
สมองจะรับรู้ว่าเรื่องที่ได้ยินนั้นคืออะไรโดยไม่มีการแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง
2.
ระดับการฟังตามปกติ เป็นระดับการได้ยินที่สูงขึ้นต่อจากการได้ยิน
ผู้ฟังต้องใช้สมรรถภาพทางสมองเชื่อมโยงเสียงที่ได้ยินกับประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความหมายของเสียง
เพื่อให้เกิดการแปลความและตีความเสียงนั้น
จนเข้าใจสารที่ฟังและแสดงปฏิกิริยาตอบสนองสารนั้นอย่างถูกต้องและเหมาะสม
3.
ระดับการฟังอย่างมีวิจารณญาณ
เป็นระดับการฟังที่สูงขึ้นอีกต้องอาศัยสมรรถภาพทางด้านการคิดวิเคราะห์ การประเมินค่า
การวินิจฉัย และการนำไปใช้ในชีวิตจริงได้
การฟังระดับนี้ต้องอาศัยการฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
หากสามารถพัฒนาจนเกิดทักษะแล้ว ผู้ฟังจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการฟังสารนั้นๆ
1.5
ลักษณะการฟังแบบต่างๆ
การฟังสามารถแบ่งได้หลากหลายลักษณะ
สรุปได้ดังนี้
1. การฟังอย่างเข้าใจ
เป็นการฟังขั้นพื้นฐานที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ เช่น
ฟังเพื่อให้สามารถรับรู้เข้าใจเรื่องราว เข้าใจความคิดของบุคคล
เข้าใจความหมายของสารแล้วสามารถนำสิ่งที่ได้ฟังไปปฏิบัติได้ ฯลฯ
การฟังลักษณะนี้ผู้ฟังควรฟังโดยตลอด
ใช้ความคิดพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลางและยอมรับความรู้ความคิดหรือมุมมองต่างๆ
ของผู้ส่งสาร อาจมีการจดบันทึกประเด็นสาคัญๆ ไปด้วยก็ได้
2.
การฟังอย่างมีจุดมุ่งหมาย เป็นการฟังที่ผู้ฟังตั้งวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งไว้ล่วงหน้า
เช่น ต้องการฟังเพื่อความรู้ เพื่อความบันเทิง เพื่อการตัดสินใจ เป็นต้น
การฟังอย่างไม่ได้ตั้งจุดมุ่งหมายจัดว่าเป็นการฟังแบบผ่านๆ
ผู้ฟังจะไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งที่ได้ฟัง
การฟังอย่างมีจุดมุ่งหมายจึงเป็นพื้นฐานสาคัญของการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ
3.
การฟังอย่างมีวิจารณญาณ จัดเป็นการฟังที่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์สารที่ได้ฟัง
มักดาเนินควบคู่ไปกับการวิเคราะห์สาร จัดเป็นการฟังขั้นสูง
ผู้ฟังต้องจับประเด็นว่าจุดมุ่งหมายของผู้พูดคืออะไร
และแยกแยะว่าส่วนใดที่เป็นข้อเท็จจริงและเป็นข้อคิดเห็น
โดยใช้กระบวนการคิดใคร่ครวญด้วยเหตุผล จนนำไปสู่การตอบสนองที่ถูกต้องเหมาะสม
การฟังอย่างมีวิจารณญาณจะทำให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์และได้ข้อมูลที่เป็นจริง
4.
การฟังอย่างประเมินคุณค่า เป็นการฟังในระดับสูงต่อมาจากการฟังอย่างมีวิจารณญาณ เป็นการฟังที่ผู้ฟังต้องประเมินหรือตัดสินคุณค่าของสารที่ฟังว่าดีหรือไม่
มีประโยชน์หรือไม่ เหมาะแก่การนำไปปฏิบัติหรือไม่
ผู้ฟังควรฟังอย่างตั้งใจและสามารถวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ฟังได้อย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือ
การฟังอย่างประเมินคุณค่าทำให้ผู้ฟังตระหนักได้ว่าข้อมูลนั้นน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
1.6
จุดมุ่งหมายของการฟัง
การฟังที่ดีผู้ฟังควรจะต้องฝึกฝนและพัฒนาทักษะการฟังของตนอยู่เสมอ
เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังอย่างถ่องแท้
การฟังโดยที่มีการตั้งจุดมุ่งหมายในการฟังไว้ล่วงหน้าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาทักษะการฟัง
จุดมุ่งหมายของการฟังสรุปได้ดังนี้
1.
ฟังเพื่อให้เกิดความรู้ นักเรียนนักศึกษาเป็นกลุ่มที่ใช้วัตถุประสงค์นี้โดยตรง
ผู้เรียนจะต้องฟังบรรยายของครูอาจารย์ ฟังวิทยากร ฟังเสวนา
ฟังอภิปรายและฟังการรายงานของเพื่อน นอกจากการฟังเพื่อให้เกิดความรู้โดยตรงแล้ว
ยังมีการฟังอีกลักษณะหนึ่งที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้โดยอ้อม
คือการฟังสารประเภทข่าวสาร เหตุการณ์
บ้านเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฟังสารคดี ฟังการสัมภาษณ์บุคคลสาคัญ
ฟังรายการสนทนาต่างๆ ฟังรายการที่เป็นสาระประโยชน์ เช่น การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
การกาหนดจิตให้มีสมาธิ หรือรายการแนะนาสถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น
การฟังเพื่อให้เกิดความรู้โดยอ้อมนี้จะทำให้ผู้ฟังเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวาง
เป็นผู้รอบรู้ในเรื่องต่างๆ
ความรอบรู้นี้สามารถนำไปปรับใช้กับการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบัน
ทาให้การดำเนินชีวิตมีคุณภาพและเกิดความสงบสุขได้
2.
ฟังเพื่อความบันเทิงและผ่อนคลาย เป็นการฟังเพื่อให้เกิดเพลิดเพลิน ความสนุกสนาน
ผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน ภาวะแวดล้อม ความวิตกกังวลจากการดำเนินชีวิตในสังคม
เช่น การฟังเพลง ฟังและชมการแสดงดนตรี ฟังเรื่องเบาสมอง ฟังการอ่านทำนองเสนาะ
รวมไปถึงฟังเสียงธรรมชาติ เช่น น้ำตก นกร้อง คลื่นในทะเล ฯลฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า
ในปัจจุบันลักษณะการฟังเพื่อความบันเทิงและผ่อนคลายยังมีความแตกต่างจากในอดีต
ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีที่มีความเจริญก้าวหน้า
ดังจะเห็นว่าการฟังในสมัยอดีตจะมีลักษณะเป็นการฟังระหว่างบุคคลหรือระหว่างกลุ่มชนกลุ่มเล็กๆ
และมักจะมีการนัดหมายล่วงหน้า
ซึ่งมักจะเป็นการร้องหรือพูดปากเปล่าที่ผู้ร้องหรือพูดอยู่ไม่ไกลจากผู้ฟัง เช่น
การฟังเพลง ฟังขับเสภา การดูโขน ฯลฯ
แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาสื่อและเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทาให้ผู้ฟังสามารถฟังเพลงหรือสิ่งที่ต้องการได้ในทุกขณะและผู้ฟังกับผู้ร้องหรือพูดไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กันเพราะสามารถใช้เครื่องขยายเสียงได้
เช่น ฟังจากเครื่องเล่นเทป-ซีดีแบบพกพา เครื่องเล่นเอ็มพี โทรศัพท์มือถือ iPad เป็นต้น
3.
ฟังเพื่อให้เกิดความคิดและการตัดสินใจ อาทิเช่น การฟังปราศรัยหาเสียง
ฟังโฆษณาสินค้า ฟังการขอร้อง วิงวอน ฯลฯ
การฟังลักษณะนี้ผู้ฟังจะต้องใช้วิจารณญาณในการฟังมากที่สุด
และต้องประเมินค่าสิ่งที่ได้ฟังว่ามีเหตุมีผลน่าเชื่อถือหรือไม่
เพื่อการตัดสินใจอย่างถูกต้อง เช่น ฟังการปราศรัยหาเสียง
ผู้ฟังควรตั้งใจฟังและหาสาระสำคัญจากสิ่งที่ได้ฟัง พยายามแยกแยะข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นหรือถ้อยคำที่มีลักษณะชักจูงใจ
ชวนเชื่อออกจากกัน
ใช้วิจารณญาณพิจารณาไตร่ตรองข้อมูลที่เป็นไปได้จริงและประโยชน์ที่จะได้รับ เป็นต้น
4.
ฟังเพื่อสร้างความเข้าใจ เป็นการฟังความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้อื่น เพื่อเข้าใจบุคคลหรือเรื่องนั้นๆ
เป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันและลดความขัดแย้งต่างๆ
การฟังเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันเกิดขึ้นได้ในทุกระดับชั้น
ตั้งแต่ระดับครอบครัวจนถึงระดับชาติและนานาชาติ เป็นที่น่าสังเกตว่า
ลักษณะการฟังเพื่อสร้างความเข้าใจนี้ ส่วนใหญ่มักมีปัญหาหรือเกิดความขัดแย้งขึ้นเสียก่อนจึงมีการตกลงสร้างความเข้าใจร่วมกัน
โดยปัญหาหรือความขัดแย้งนั้นเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น สาเหตุทางการเมือง
สาเหตุทางเศรษฐกิจ สาเหตุทางสังคม สาเหตุทางความคิดและทัศนคติที่แตกต่างกัน ฯลฯ
การฟังเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันจะเป็นแนวทางช่วยลดปัญหาหรือความขัดแย้งต่างๆได้
แต่ทั้งนี้ผู้ฟังและผู้พูดต้องมีใจเป็นกลางและยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างด้วย
5.
การฟังเพื่อแสดงความคิดเห็น การฟังเพื่อแสดงความคิดเห็นนั้นเป็นการฟัง
ที่ต้องเกิดจากความตั้งใจและการคิดพิจารณาเพื่อประกอบการแสดงความคิดเห็น
โดยการแสดงความคิดเห็นเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการประเมินคุณค่าของสาร ฉะนั้น
ผู้ฟังจึงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบและพิจารณาถึงความเหมาะสมในการถ่ายทอดความคิดเห็นนั้นเป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียนด้วย
การฟังเพื่อแสดงความคิดเห็นนี้มักปรากฏในการฟังการสัมมนา การเสวนา การอภิปราย
เป็นต้น
6.
ฟังเพื่อให้ได้คติชีวิตหรือความจรรโลงใจ
เป็นการฟังที่ก่อให้เกิดสติปัญญาและวิจารณญาณ ยกระดับจิตใจ
ค้าชูจิตใจให้สูงขึ้นและประณีตขึ้น
การฟังประเภทนี้มีลักษณะคล้ายกับการฟังเพื่อความบันเทิงแต่ต่างกันตรงที่การฟังเพื่อให้ได้คติชีวิตหรือความจรรโลงใจจะมีลักษณะลึกซึ้งและละเอียดอ่อนกว่า
มุ่งพัฒนาจิตวิญญาณมิใช่เพียงอารมณ์หรือความรู้สึก เช่น การฟังธรรมะ ฟังเทศน์
ฟังสุนทรพจน์ ฟังโอวาท เป็นต้น
7.
ฟังเพื่อพัฒนาสมองและรักษาสุขภาพจิต เป็นการฟังที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงเพื่อพัฒนาสมองและรักษาสุขภาพจิต
อาทิเช่น ให้ทารกในครรภ์ฟังเสียงเพลงเชื่อว่าเป็นการพัฒนาสมอง
การฟังเสียงตามธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงน้าตก ฯลฯ
เชื่อว่าจะบาบัดอาการเครียด การซึมเศร้า และคนไข้จิตเวชได้
การตั้งจุดมุ่งหมายการฟังเป็นขั้นตอนพื้นฐานของการพัฒนาทักษะการฟังให้มีประสิทธิภาพ
ผู้ฟังที่ดีต้องตั้งจุดมุ่งหมายของการฟังทุกครั้งเพื่อสร้างแนวทางในการฟังเรื่องราวต่างๆ
ซึ่งจะทาให้ผู้ฟังสามารถตระเตรียมความพร้อมก่อนฟัง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจเนื้อหาสาระ ประโยชน์และสามารถประเมินค่าสิ่งที่ได้ฟังได้ง่ายขึ้น
2. ประเภทของการฟัง
ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้า ทาให้มนุษย์ใช้ทักษะการฟังมากขึ้น
ในอดีตประเภทของการฟังมีลักษณะเป็นเพียงการสื่อสารระหว่างบุคคลหรือกลุ่มชน
แต่ปัจจุบันมีการขยายตัวของสังคม เทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้าส่งผลให้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการฟังอย่างยิ่งทำให้ประเภทของการฟังหลากหลายมากขึ้น
ประเภทของการฟังสรุปได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.
การฟังโดยพิจารณาจากกระบวนการสื่อสาร
2.
การฟังโดยพิจารณาจากการตอบสนองของผู้ฟังเป็นหลัก
2.1
. การฟังโดยพิจารณาจากกระบวนการสื่อสาร
การฟังที่พิจารณาจากกระบวนการสื่อสารมี
2 ลักษณะ ดังนี้
2.1.1
การฟังการสื่อสารแบบทางเดียว
การฟังการสื่อสารแบบทางเดียวเป็นการรับฟังสารที่ถ่ายทอดผ่านสื่อต่างๆ
โดยไม่มีการสื่อสารกลับ เช่น การฟังบรรยาย การฟังเพลง ฟังรายการวิทยุ
การฟังการกล่าวสุนทรพจน์ เป็นต้น ทั้งนี้ การฟังการสื่อสารทางเดียวอาจมีอุปสรรคได้
เช่น สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย ผู้พูดเสียงแหบแห้ง
สื่อที่ผู้พูดใช้ประกอบไม่สมบูรณ์ หรือไฟดับ เป็นต้น
ผู้ฟังการสื่อสารประเภทนี้จึงควรตรวจสอบความสมบูรณ์ของสื่อ
เลือกสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการฟังและตั้งใจฟัง
2.1.2
การฟังการสื่อสารแบบสองทาง
การฟังการสื่อสารแบบสองทางมีกระบวนการขั้นต้นเหมือนกับการฟังการสื่อสารทางเดียว
แต่ต่างการตรงที่การฟังการสื่อสารสองทางนั้น ผู้ฟังสามารถสื่อสารกลับได้ (feedback) มีการโต้ตอบระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง เช่น การสนทนา การคุยโทรศัพท์ เป็นต้น
การฟังประเภทนี้ ผู้ฟังควรพัฒนาทักษะการฟัง การจับใจความสำคัญ
และพัฒนาทักษะการพูดควบคู่ไปด้วย
2.2
การฟังโดยพิจารณาจากการตอบสนองของผู้ฟังเป็นหลัก
การฟังที่พิจารณาจากการตอบสนองของผู้ฟังแบ่งได้เป็น
2 ลักษณะ ดังนี้
2.2.1
การฟังโดยผู้ฟังมีส่วนร่วมโดยตรงในการสื่อสาร
การฟังประเภทนี้เป็นการสื่อสารที่บุคคลมีบทบาทโดยตรงในฐานะเป็นผู้รับสารและผู้ส่งสาร
แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
- การฟังการสื่อสารระหว่างบุคคล
การสื่อสารลักษณะนี้เป็นการสื่อสารขั้นพื้นฐานของมนุษย์
เป็นการสื่อสารที่ใช้ในชีวิตประจำวัน บุคคลที่สื่อสารมีจำนวนไม่เกิน 2 คน
ทำหน้าที่เป็นผู้รับสารและส่งสารโต้ตอบกัน เช่น การทักทาย การสนทนา การคุยโทรศัพท์
การสัมภาษณ์ เป็นต้น
การฟังการสื่อสารระหว่างบุคคลจะสัมฤทธิผลได้ต่อเมื่อผู้ฟังตั้งใจฟัง
เป็นผู้ฟังที่ดี มีความจริงใจต่อคู่สนทนา แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอย่างเหมาะสม
และใช้วิจารณญาณตีความหมายสารที่ผู้พูดส่งมาเพื่อการตอบสนองกลับได้อย่างถูกต้อง
- การฟังการสื่อสารภายในกลุ่ม
การสื่อสารลักษณะนี้เป็นการสื่อสารที่มีบุคคลเข้าร่วมสื่อสารมากกว่า 3 คน
ไม่จำกัดจานวนบุคคลในกลุ่ม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาส สถานที่
และเครื่องอำนวยความสะดวก การสื่อสารภายในกลุ่ม เช่น การอภิปรายกลุ่ม
การประชุมปรึกษาหารือแก้ไขเรื่องต่างๆ เป็นต้น
บุคคลที่อยู่ในกลุ่มจะเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังสลับกันไป อาจเป็นการปรึกษาหารือ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น การโต้แย้งวิพากษ์วิจารณ์
วัตถุประสงค์ของการฟังการสื่อสารภายในกลุ่มมักเป็นการฟังเพื่อรับทราบข้อตกลง
รับทราบเป้าหมาย หรือร่วมตัดสินใจ
รูปแบบของการสื่อสารอาจเป็นแบบทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้
อาจมีประธานกลุ่มหรือไม่มีก็ได้ การฟังการสื่อสารภายในกลุ่ม
ผู้ฟังควรศึกษาเอกสารหรือประเด็นของเรื่องที่จะฟังมาล่วงหน้าก่อน
ขณะฟังควรฟังอย่างตั้งใจ ฟังแล้วคิดไตร่ตรองไปด้วย เมื่อมีผู้แสดงความคิดเห็นควรรับฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง
ไม่มีอคติ และมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็นระยะๆ
2.2.2
การฟังโดยผู้ฟังไม่มีส่วนร่วมโดยตรงในการสื่อสาร
การฟังประเภทนี้จัดเป็นการฟังสื่อสาธารณะ เป็นการรับสารและส่งสารในที่ชุมนุมชน
มีขนาดกลุ่มใหญ่กว่าการสื่อสารภายในกลุ่ม
- การฟังการสื่อสารกลุ่มใหญ่
การฟังประเภทนี้เป็นการฟังในที่ชุมนุมชนหรือฟังสื่อสาธารณะ
ลักษณะของการฟังมักจะแยกอย่างชัดเจนว่าใครเป็นผู้ส่งสารและใครเป็นผู้รับสาร
เวทีของผู้พูดและผู้ฟังก็มักจะแยกส่วนออกจากกัน
กลุ่มผู้ฟังมักเป็นกลุ่มที่มีความคิดเห็น ทัศนคติ
และความนิยมที่ใกล้เคียงกับผู้ส่งสาร
ผู้ฟังส่วนใหญ่มักจะเข้าใจสารที่ส่งมาแต่ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือซักถามได้
การฟังประเภทนี้ เช่น การบรรยายสรุป การชี้แจงต่อที่ประชุม การปราศรัยหาเสียง การแสดงปาฐกถา
การอภิปรายสาธารณะ เป็นต้น การฟังสื่อสาธารณะ
ผู้ฟังควรศึกษาผู้พูดและประเด็นที่จะฟังล่วงหน้าเพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจ
ในขณะฟังควรตั้งใจฟัง มีสมาธิในการฟัง จับประเด็นเรื่องที่ฟังให้ได้
และหลังจากฟังจบแล้ว ผู้ฟังควรประเมินค่าสิ่งที่ฟังด้วย
-
การฟังจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การฟังประเภทนี้เป็นการฟังสื่อผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิทยุ โทรทัศน์
ภาพยนตร์ วีดิทัศน์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ
เป็นสื่อที่ผู้ฟังสามารถเลือกฟังได้ตามความต้องการของตนมากกว่าการสื่อสารประเภทอื่น
เช่น บางคนชอบเลือกฟังเฉพาะเพลงลูกทุ่ง บางคนชอบเลือกฟังรายการที่มีสาระประโยชน์
ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การฟังสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ผู้ฟังต้องรอกำหนดเวลาการส่งสัญญาณมายังเครื่องรับและฟังได้เพียงครั้งเดียว
ไม่สามารถย้อนกลับมาฟังซ้ำได้ ดังนั้น
ผู้ฟังจึงต้องตั้งใจฟังและฟังอย่างมีวิจารณญาณ เนื่องจากผู้ฟังไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือซักถาม
3. หลักการฟังอย่างสร้างสรรค์
การฟังที่ดีนั้นผู้ฟังจะต้องรู้จักวิธีการฟังและการเลือกสารที่จะฟัง
รวมไปถึงต้องรู้จักวิธีการเลือกสื่อในการฟังเพื่อทำให้การฟังนั้นเป็นการฟังที่สร้างสรรค์
โดยการฟังอย่างสร้างสรรค์มีหลักการดังนี้
1.
ผู้ฟังต้องศึกษาทำความเข้าใจความรู้พื้นฐานทางภาษา ความหมายของคำ สำนวน
ข้อความและประโยคที่บรรยายหรืออธิบาย รวมถึงหลักของการจับใจความสำคัญ
เพื่อทาให้เข้าใจสารตรงกับที่ผู้พูดต้องการสื่อสาร
ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งหรือเข้าใจผิดได้
2.
ผู้ฟังต้องศึกษาประเภทของสารและสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นประเภทอะไร
เป็นสารประเภทให้ความรู้ ให้ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นหรือเป็นคำทักทายปราศรัย ข่าว
สารคดี จะได้จับประเด็นหรือใจความสำคัญได้ง่าย
ความสามารถในการแยกแยะประเภทของสารจะทาให้ผู้ฟังเลือกฟังเรื่องที่มีสาระประโยชน์และเหมาะกับตนเองได้
3. ผู้ฟังต้องรู้จักเลือกสื่อให้เหมาะสมและสร้างสรรค์
โดยควรศึกษาประเภทของสื่อก่อนฟัง หากฟังจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น
อินเทอร์เน็ตหรือรายการวิทยุโทรทัศน์
ควรศึกษาชื่อเว็บไซด์ที่มีเนื้อหาสาระสร้างสรรค์เพิ่มพูนความรู้
ควรเลือกที่เหมาะสมกับวัยและมีคุณค่าในการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ควรเป็นรายการที่ไม่ขัดกับศีลธรรมประเพณีอันดีงาม และไม่มอมเมาทาให้เกิดความงมงาย
โดยขณะที่ฟังนั้นควรวิเคราะห์ข้อความ พิจารณาภาษาภาพ การนำเสนอว่าเหมาะสมหรือไม่
น่าเชื่อถือเพียงใดไปด้วย
4. ผู้ฟังต้องฟังอย่างมีวิจารณญาณ
ผู้ฟังควรฟังเนื้อหาให้ครบถ้วน พิจารณาใคร่ครวญ แยกแยะส่วนที่เป็นเหตุเป็นผล
ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นของผู้พูดว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
และเหมาะสมกับการนำไปปฏิบัติหรือไม่
5.
ผู้ฟังควรศึกษาหาความรู้ด้านสังคมและวัฒนธรรมเพื่อประกอบการทำความเข้าใจเนื้อหาสาระของสารนั้นๆ
4. มารยาทในการฟัง
มารยาทในการฟัง
ถือเป็นวัฒนธรรมประจาชาติอย่างหนึ่งที่ผู้ฟังควรยึดถือและปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม
การมีมารยาทในการฟังที่ดี ถือเป็นการให้เกียรติต่อผู้พูด
ให้เกียรติต่อสถานที่และให้เกียรติต่อชุมชน มารยาทเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ทุกคนควรยึดถือและปฏิบัติโดยเคร่งครัด
ผู้มีมารยาทในการฟังควรปฏิบัติตน
ดังนี้
1) เมื่อฟังอยู่เฉพาะหน้าผู้ใหญ่
ควรฟังโดยสำรวมกิริยามารยาท ฟังด้วยความสุภาพเรียบร้อย และตั้งใจฟัง
2) การฟังในที่ประชุม
ควรเข้าไปนั่งก่อนผู้พูดเริ่มพูด
โดยนั่งที่ด้านหน้าให้เต็มก่อนและควรตั้งใจฟังจนจบเรื่อง
3)
ให้เกียรติผู้พูดด้วยการปรบมือ เมื่อมีการแนะนาตัวผู้พูดหรือขอบคุณผู้พูด
4)
หากมีข้อสงสัยเก็บไว้ถามเมื่อมีโอกาสและถามด้วยกิริยาสุภาพ เมื่อจะซักถามต้องเลือกโอกาสที่ผู้พูดเปิดโอกาสให้ถาม
ถามด้วยถ้อยคำสุภาพและไม่ถามนอกเรื่อง
5)
ระหว่างการพูดดำเนินอยู่ควรรักษาความสงบเรียบร้อยด้วยการฟังอย่างสงบสุขุม
ไม่ทำเสียงรบกวนผู้อื่น ไม่เคาะโต๊ะ ไม่ส่งเสียงโห่ฮา เป่าปาก สั่นขา กระทืบเท้า
ไม่ลุกไปมาบ่อยๆ
หากมีความจาเป็นต้องลุกจากเก้าอี้ควรแสดงความเคารพผู้พูดหรือประธานเสียก่อน
หากเดินเข้าไปในที่ประชุมขณะที่ผู้พูดพูดอยู่ควรแสดงความเคารพผู้พูดก่อนเข้าไปนั่ง
6)
มีปฏิกิริยาตอบสนองผู้พูดอย่างเหมาะสม ไม่แสดงสีหน้าหรือกิริยาก้าวร้าว เบื่อหน่าย
หรือลุกออกจากที่นั่งโดยไม่จาเป็นขณะฟัง
7) ฟังด้วยความอดทน
แม้มีความคิดเห็นขัดแย้งกับผู้พูดก็ควรมีใจกว้างรับฟังอย่างสงบ
8) ไม่แอบฟังการสนทนาของผู้อื่น
หลักปฏิบัติในการฟังตามสถานการณ์ต่างๆ
1.
การนั่งฟัง ผู้ฟังควรนั่งฟังด้วยความสุภาพเรียบร้อย ไม่เหยียดขาออกมา
ไม่นั่งไขว่ห้าง หากนั่งกับพื้นควรนั่งพับเพียบ
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าพระสงฆ์หรือผู้ใหญ่ ในขณะฟังเทศน์ควรพนมมือขณะฟังด้วย
นั่งมือวางซ้อนกันบนตัก ไม่ควรพิงพนัก ตามองผู้พูด
ลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผู้ฟังควรฝึกปฏิบัติให้เคยชิน
2.
การยืนฟัง ขณะยืนฟังควรยืนตัวตรง ส้นเท้าชิด มือกุมประสานกันยกมือขึ้นเล็กน้อย
ตามองผู้พูด ไม่ยืนอย่างสบายเกินไป ไม่เท้าสะเอว เท้าแขนบนโต๊ะ
หรือยืนค้าศีรษะผู้ใหญ่
3.
การฟังการสนทนาหรือฟังผู้ใหญ่พูดขณะเดิน
ควรเดินเยื้องไปทางด้านหลังผู้ใหญ่ด้านใดด้านหนึ่งเล็กน้อย ไม่เปลี่ยนด้านไปมา
เดินด้วยความสำรวม และตั้งใจฟัง
หลักการฟังที่กล่าวไปทั้งหมดข้างต้น
เป็นสิ่งที่ผู้ฟังต้องฝึกฝนและพัฒนาเพื่อการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะการฟังที่มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
โดยสามารถทำให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างมีคุณภาพและปกติสุขได้
5. อุปสรรคและปัญหาในการฟัง
อุปสรรคและปัญหาในการฟังเกิดได้จากหลายสาเหตุ
ส่งผลให้การสื่อสารไม่สัมฤทธิ์ผล เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง
และอาจทำให้ผู้ฟังไม่สามารถวิเคราะห์สิ่งที่ฟังได้
สาเหตุของอุปสรรคและปัญหาที่ทำให้การฟังไม่สัมฤทธิ์ผลสรุปได้ 5 สาเหตุใหญ่ๆ ดังนี้
1.
สาเหตุจากผู้ฟัง สาเหตุจากผู้ฟังส่วนใหญ่เกิดมาการขาดความพร้อมของผู้ฟังและนิสัยการฟังที่ไม่ดี
เช่น ทนฟังนานๆ ไม่ได้ ขาดสมาธิ เชื่อคนง่าย ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ฟัง
ขาดทักษะการจับใจความสำคัญ ไม่ชอบบันทึกข้อมูล มีปัญหาสุขภาพ เป็นต้น
ผู้ฟังที่ดีควรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและนิสัยดังกล่าว
และพยายามพัฒนาทักษะการฟังอยู่เสมอ อุปสรรคและปัญหาเหล่านี้
ผู้ฟังสามารถปรับให้ดีขึ้นได้เพราะเกิดมาจากตัวผู้ฟังเอง
นอกจากนิสัยการฟังแล้ว
ปัญหาในการฟังอาจเกิดมาจากการที่ผู้ฟังไม่รู้จักวิธีการฟังที่ถูกต้อง อาทิเช่น
ผู้ฟังบางคนฟังไม่ถูกวิธี เช่น เข้ามาฟังอาจารย์บรรยายในชั้นเรียนแต่กลับฟังแบบสบายๆ
เหมือนการพักผ่อน หรือบางคนชอบฟังผ่านๆ
ไม่ใช้กระบวนการคิดทำให้ความรู้ที่ได้รับมีลักษณะผิวเผิน
หรือบางคนชอบประเมินค่าสิ่งที่ได้ฟังตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์สาร
วิเคราะห์กลวิธีพูดและบุคลิกภาพของผู้พูด
ซึ่งอาจทำให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายหรือเข้าใจสารผิดวัตถุประสงค์ เช่น
ผู้พูดส่งสารที่ตลกขบขันเพื่อสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน
แต่ผู้ฟังเอาแต่ประเมินค่าสารอยู่จนอาจไม่ได้รับสาระบันเทิงดังกล่าวก็ได้
2.
สาเหตุจากผู้พูด
ผู้พูดเป็นอีกฝ่ายหนึ่งที่มีส่วนสำคัญต่อกระบวนการฟังที่มีประสิทธิภาพ
การฟังที่มีประสิทธิภาพนอกจากผู้ฟังจะต้องมีทักษะการฟังที่ดีแล้ว
ผู้พูดควรมีทักษะการพูดที่ดีด้วยเช่นกัน หากผู้พูดมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับวิธีการพูด
การนำเสนอสาร หรือบุคลิกภาพอาจจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจประเด็นผิด ไม่เชื่อถือ
และไม่สนใจฟังก็เป็นได้ สาเหตุจากผู้พูดพอสรุปได้ดังนี้
2.1
ผู้พูดขาดทักษะการส่งสาร เช่น ไม่สามารถถ่ายทอดความคิดหรือความรู้เป็นคำพูดได้
ไม่คุ้นเคยต่อการนำเสนอต่อหน้าที่ประชุมชน ฯลฯ
2.2
ผู้พูดรู้สึกประหม่า ตื่นเต้น หรือกลัวจนพูดไม่ออกหรือพูดติดขัด
ซึ่งอาจทำให้ฟังแล้วเข้าใจยากและอาจทำให้ไม่อยากฟัง
2.3
ผู้พูดกังวลเรื่องเนื้อหาที่จะพูดยังไม่สมบูรณ์
ปัญหานี้อาจทำให้ผู้พูดขาดความมั่นใจจนทาให้การถ่ายทอดสารขาดประสิทธิภาพ
ส่วนผู้ฟังจะได้รับสารไม่ครบถ้วนหรืออาจเข้าใจสารผิดไปได้
2.4
ขาดบุคลิกภาพที่ดีขณะพูด บุคลิกภาพที่ดีจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้พูดได้
การขาดบุคลิกภาพจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกสงสัยและไม่เชื่อถือสิ่งที่ผู้พูดพูด
3.
สาเหตุจากสาร สาเหตุจากสารส่วนใหญ่มักเกิดจากการที่ผู้ฟังไม่เข้าใจสาร
โดยเกิดได้จากหลายสาเหตุ พอสรุปสาเหตุจากสารคร่าว ๆ เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
3.1
สาเหตุจากเนื้อหา
ส่วนใหญ่แล้วปัญหาที่มาจากเนื้อหาของสารมักจะเกิดจากสารที่เข้าใจยาก
สารที่มีความซับซ้อนและลึกซึ้งมาก หรือมีตาราง แผนภูมิ กราฟที่เข้าใจยาก
ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจทำให้ฟังไม่เข้าใจหรือเข้าใจสารผิดก็ได้
3.2
สาเหตุจากภาษา ภาษาที่ปรากฏในสารนั้นอาจทาให้เกิดปัญหาได้
โดยสารนั้นมีคำศัพท์เฉพาะมากเกินไป เป็นศัพท์ที่ไม่ได้ใช้อยู่ทั่วไป
หรือใช้ศัพท์ภาษาต่างประเทศมากเกินไปหรือบทกวีที่เข้าใจยากซึ่งอาจทำให้ผู้ฟังไม่เข้าใจสาร
เกิดความรู้สึกงุนงงก็เป็นได้
ปัญหาการฟังที่มีสาเหตุมาจากสารข้างต้นนี้
ส่งผลให้ผู้ฟังไม่สามารถจับประเด็นหรือเข้าใจเรื่องที่ฟังได้ทั้งหมด และอาจทาให้ผู้ฟังรู้สึกเบื่อหน่ายได้อีกด้วย
4.
สาเหตุจากสื่อ สื่อ คือ วิธีทางหรือช่องทางการนำเสนอสารของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร
สื่อมีหลายประเภท เช่น สื่อที่เป็นบุคคล สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สื่อทางธรรมชาติ
เป็นต้น หากสื่อเกิดขัดข้องหรือด้อยคุณภาพ เช่น ไมโครโฟนเสียงขาดหายเป็นช่วงๆ
หรือโทรทัศน์พร่ามัว สัญญาณไม่ดี หรือบุคคลที่ที่ฝากสารไปส่งต่อเข้าใจสารผิด ฯลฯ
จะทำให้ผู้ฟังหรือผู้รับสารไม่เข้าใจสาร ส่งผลให้การสื่อสารขาดประสิทธิภาพ
5.
สาเหตุจากสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมเป็นส่วนที่ช่วยสร้างบรรยากาศในการฟัง
แต่หากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟังได้ เช่น
แสงสว่างน้อยเกินไป อยู่ในบริเวณที่มีเสียงดังเกินไป ร้อนหรือหนาวเกินไป เป็นต้น
อุปสรรคและปัญหาในการฟังข้างต้น
อาจทำให้ประสิทธิภาพในการฟังลดน้อยลง ทั้งนี้ปัญหาบางปัญหาไม่ได้เกิดมาจากผู้ฟัง
ทว่าผู้ฟังควรเตรียมความพร้อมในทุกสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม
ปัญหาของการฟังที่มาจากผู้ฟังเอง
เป็นสิ่งที่ผู้ฟังควรแก้ไขและเป็นสิ่งที่แก้ไขได้เพราะเกิดจากตัวผู้ฟังเอง
สรุป
การฟังเป็นทักษะที่สำคัญยิ่ง
เพราะเป็นพื้นฐานแห่งการเรียนรู้ทั้งปวง
เป็นทักษะแรกที่มนุษย์ใช้เรียนรู้วิธีการพูด
ทาให้เกิดการเลียนแบบการพูดส่งผลให้มนุษย์สามารถพูดจาสื่อสารกันได้
บุคคลที่ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพจะทาให้การสื่อสารสัมฤทธิผล ช่วยให้เกิดความเข้าใจระหว่างบุคคล
และระหว่างคนในสังคม อันจะทาให้ประเทศชาติบ้านเมืองมีความสงบสุข ทักษะการฟังที่ดียังจะนามาซึ่งความสำเร็จในชีวิต
เนื่องจากเป็นพื้นฐานสำคัญของทักษะการเข้าสังคม
เพราะจะสามารถลดความเข้าใจผิดและความขัดแย้งในการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น การฟังที่ดีผู้ฟังจึงต้องฝึกทักษะการฟังของตนอย่างสม่ำเสมอ
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ